คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

[]

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หมู่บ้าน"หนาวที่สุดในโลก" อุณหภูมิต่ำสุด "ติดลบ 67 องศา"


เมืองเล็กๆ 2 เมืองในแถบไซบีเรียของรัสเซีย กำลังแข่งกันเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่ที่มีอากาศหนาวยะเยือกที่สุดในโลก โดยทั้งสองเมืองต่างมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือลบ 60 องศาเซลเซียส
ไกลออกไปในแคว้นยาคูเตีย แถบไซบีเรียของรัสเซีย ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันออก 9,000 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเมืองโอมียาคอน เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 750 เมตร ที่มีประชากรแค่ประมาณ 500 คนเท่านั้น 




เมืองนี้เกิดขึ้นจากการเป็นแค่เพียงจุดแวะพักของคนเลี้ยงกวางเรนเดียร์ ในช่วงยุค 1920 และ 1930และพัฒนาขึ้นเป็นเมืองตามแผนของรัฐบาลกลางอดีตสหภาพโซเวียต ที่ต้องการสร้างเมืองที่เป็นหลักแหล่งให้แก่ชนพื้นเมืองเร่ร่อน
แม้ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใด การใช้ชีวิตของประชาชนก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โรงเรียนในท้องถิ่นจะปิดเรียนก็ต่อเมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่า -54 องศาเซลเซียสเท่านั้น  ประชาชนทั่วไปยังคงใช้วิธีการเดิมๆในการเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย โดยการใช้ฟืนหรือถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง แทนที่จะเป็นเครื่องทำความร้อนสมัยใหม่ และด้วยอุณหภูมิสุดโหดดังกล่าว การเพาะปลูกพืชจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เมนูอาหารส่วนใหญ่ของที่นี่จึงทำมาจากเนื้อม้าและกวางเรนเดียร์เป็นหลัก 
เมืองนี้อากาศหนาวจัดจนกระทั่งทางการต้องทำป้ายที่มีคำว่า "Oymyakon, the Pole of Cold" หรือ "โอมียาคอน ขั้วแห่งความหนาว" 
มีอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนมกราคมที่ -50 องศาเซลเซียส  และต่ำสุดถึง -67.7 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูหนาวในเดือนธันวาคม ที่นี่มีช่วงกลางวันยาวนานเพียง 3 ชั่วโมง ขณะที่ในฤดูร้อน กลางวันจะยาวนานถึง 21 ชั่วโมง โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม ที่อุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 30 องศาเซลเซียส


ปัญหาที่ชาวบ้านที่นี่ต้องพบเจอเป็นเรื่องปกติ
อาทิ หมึกในปากกาที่แข็งตัว แก้วน้ำที่เย็นจนแตกโดนหน้า หลายคนต้องสตาร์ทรถทิ้งไว้เพราะกลัวจะสตาร์ทรถไม่ติดอีก และแม้จะมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่ด้วยอากาศเย็นจัดเกินไป ทำให้โทรศัพท์มือถือไม่ทำงาน

ท่ามกลางความหนาวยาวนานถึง 8 เดือน จึงต้องทำให้บ้านอุ่นอยู่ตลอดเวลา
ธุรกิจตัดไม้เพื่อทำเป็นฟืนจึงเป็นธุรกิจหนึ่งที่ดีเยี่ยมอย่างมากในพื้นที่นี้ เพราะชาวบ้าน ต้องเข้าป่าไปหาฟืนทุกวันเพื่อสร้างความอบอุ่น ถ้าได้ฟืนมา ก็จะช่วยให้บ้านเรือนอบอุ่นไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ฤดูร้อนมาเยือนอีกครั้ง
ชาวเมืองซึ่งเรียกตัวเองว่า ชาวยาคุสต์ ก็ต้องหาหนทางให้บ้านอบอุ่นมากที่สุดด้วยการเผาฟืน 
ซึ่งคนตัดไม้ประจำเมืองบอกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่าฤดูหนาวไม่ได้รุนแรงเหมือนสมัยก่อน ที่เคยมีอุณหภูมิอาจอยู่ที่ประมาณติดลบ 40 - 50 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน อุณหภูมิจะติดลบประมาณ 60 - 61 องศาเซลเซียส และมีอยูปีนึง ที่เคยหนาวถึง ติดลบ 67.7 องศาเซลเซียส เมืองโอมยาคอน ของรัสเซีย จึงเป็นเมืองที่หนาวที่สุดในโลก

อย่างไรก็ดี มีอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า เวอร์โคยันค์ส อยู่ห่างออกไปทางเหนือของโอมียาคอน 1,000 กิโลเมตร มีคนอยู่ประมาณ 1,300 คน ก็ประกาศตัวว่าเป็นเมืองที่อากาศหนาวที่สุดในโลกด้วยเหมือนกัน เพราะอ้างว่าเคยบันทึกอุณหภูมิต่ำที่สุดในปี 1885 ที่ -67.8 องศาเซลเซียส ซึ่งก็แน่นอนว่าเมืองโอมียาคอนไม่ยอมรับข้ออ้างดังกล่าว โดยบอกว่าสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำเหมือนปัจจุบัน
รายงานยังระบุว่า อากาศหนาวๆ แบบนี้ ชาวบ้านจึงมักจะใช้ม้าในการเดินทาง และขนส่งสินค้า รวมถึงยังเอาเนื้อมาใช้บริโภคเป็นอาหารด้วย เนื่องจากอากาศหนาวจัดจนไม่สามารถเลี้ยงปศุสัตว์ชนิดอื่นได้ แสดงให้เห็นว่าม้าในพื้นที่แถบไซบีเรียต้องมีความอึดเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเมืองทั้งสองเมืองอยู่ในสาธารณรัฐซัคคา หรือยาคูเตีย ซึ่งเป็นแหล่งทำเหมืองเพชรชั้นดี รวมถึงยังอุดมไปด้วยทองคำ เงิน น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติด้วย



เทพ Mstar[th] Step - kara 100%








6 วิธีลดขาใหญ่



นอกจากเรื่องหน้าท้องที่มีไขมันส่วนเกินแล้ว ผู้หญิงก็มักมีปัญหากับต้นขาของตัวเองนี่แหละที่เป็นปัญหารองลงมา เพราะไม่ว่าจะใส่ยีนส์ หรือกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขายาวๆ มันก็ดูตันๆ ยังไงชอบกล ดังนั้นวันนี้จึงนำ 6 วิธีลดต้นขามาให้สาวๆได้ฟิตกันค่ะ
1.ขึ้นบันได
ตอน นี้ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียนอยู่ชั้นไหนของตึก เราเป็นต้องกดลิฟท์ทุกครั้งด้วยความเคยชิน แต่ถ้าจะลดขาก็ควรจะหยุดกด แล้วเปลี่ยนไปขึ้นบันไดแทน ท่องเอาไว้ค่ะว่าเพื่อต้นขานางแบบ ที่ให้เลือกขึ้นบันไดก็เพราะว่า การก้าวขึ้นบันไดจะช่วยเร่งระบบการเผาผลายในร่างกาย แน่นอนว่ามีผลกับกล้ามเนื้อต้นขาด้วย
2.จ็อกกิ้ง
ตื่น เช้าๆแล้วไปวิ่งจ็อกกิ้งหรือวิ่งเหยาะๆก็เป็นหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่มีออกซิเจนในอากาศมากกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ และออกซิเจนนี่แหละที่จะช่วยให้คุณเบิร์นแคลอรีได้มากขึ้น ไม่ต้องแข่งกับใคร แถมมันจะช่วยเบิร์นไขมันและแคลอรีได้ สงสัยต้องหัดตื่นเช้ากันแล้วล่ะค่ะ
3.ปั่นจักรยาน
อีก หนึ่งวิธีการออกกำลังกายต้นขา ก็คือ การปั่นจักรยานค่ะ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้ส่วนต้นขามากเป็นพิเศษ ยิ่งปั่นมาก ๆ ก็ยิ่งต้องใช้แรงจากขามากตามไปด้วย โดยเฉพาะต้นขาที่จะได้ออกกำลังอย่างเต็มที่ ทำให้ขาแข็งแรง และมีกำลังมากขึ้น ทีนี้ล่ะกระชับแน่นอน
4.เดินเร็ว
ลอง เปลี่ยนความอืดอาดในการเดินของคุณ เป็นการเดินเร็วๆแทน จะมีผลต่อการลดต้นขามากกว่าการเดินแบบธรรมดาซะอีก ยิ่งถ้าคุณเดินเร็วไปเรื่อย ๆ สลับกับการเดินปกติบ้าง จะยิ่งช่วยเผาผลาญแคลอรี และช่วยขจัดไขมันในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะที่เรียวขาได้ด้วยค่ะ
5.ดื่มน้ำเยอะ ๆ
คง สงสัยกันว่าดื่มน้ำเยอะๆมันช่วยลดต้นขาได้ยังไง การดื่มน้ำช่วยล้างพิษให้ร่างกาย และหากขาดน้ำก็จะทำให้การเผาผลาญทำงานน้อยลง เพราะงั้นเราควรดื่มน้ำบ่อยๆเพื่อเร่งการเบิร์นแคลอรี แต่ไม่ใช่ดื่มแค่ตอนรู้สึกกระหายเท่านั้นนะคะ จิบบ่อยๆก็ช่วยได้เหมือนกัน
6.เลือกทานอาหารสุขภาพ
ตอน นี้อาหารแต่ละอย่างดูน่ากินไปซะหมด ซึ่งส่วนมากก็มีแต่แป้งและไขมันเป็นส่วนประกอบ ลองหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพแบบไร้ไขมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่ต้นขา แต่ขอเตือนว่าไม่ต้องลดการทานแป้งจนเกินไป เพราะคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้คุณมีพลังงานในการออกกำลังกายค่ะ

เมนู 7 วัน-ลืมไปเลยว่าเคยอ้วน !!

วันที่ 1

เช้า - ข้าวกล้อง 3 ทัพพีปาดเรียบ + ต้มเลือดหมู (ไม่ใส่น้ำมันกระเทียมเจียว)

กลางวัน - ส้มตำ 1 จาน + อกไก่ย่าง 1 ชิ้น (เอาหนังและไขมันออก)

ระหว่างมื้อ - ฝรั่ง 1 ผล

เย็น - สลัดผัก + น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล 1 ถุง


วันที่ 2

เช้า - ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น + นมขาดมันเนย 1 กล่อง

กลางวัน - ข้าวกล้อง 3 ทัพพีปาดเรียบ + เกาเหลาน่องไก่มะระ 1 ชาม

ระหว่างมื้อ - ชมพู่ 5-6 ผล

เย็น - ไข่ขาวต้มไม่จำกัด + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย


 

วันที่ 3

เช้า - ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย + แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

กลางวัน - สุกี้น้ำ 1 ชาม + ไข่ขาวต้มไม่จำกัดจำนวน

ระหว่างมื้อ - แตงโม 1-2 ซีก + นมขาดมันเนย 1 กล่อง

เย็น - ส้มตำ + ผักสด
 

วันที่ 4

เช้า - ข้าวกล้อง 3 ทัพพีปาดเรียบ + แกงจืดผักกาดขาวใส่เต้าหู้ไข่ 1 ชาม

กลางวัน - ข้าวกล้อง 2 ทัพพีปาดเรียบ + เกาเหลาหมู 1 ชาม

ระหว่างมื้อ - แคนตาลูป 2 ซีก

เย็น - ไข่ขาวต้มไม่จำกัดจำนวน + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย + แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล
 

วันที่ 5

เช้า - ไข่ต้ม 2 ฟอง + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย

กลางวัน - ข้าวกล้อง 3 ทัพพีปาดเรียบ + ลาบหมู 1 จาน + ผักสด

ระหว่างมื้อ - นมขาดมันเนย 1 กล่อง + ฝรั่ง 1 ผล

เย็น - ปลาเผาขนาดกลาง 1 ตัว (เอาหนังและไขมันใต้พุงออก) + ผักสด + แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล
 

วันที่ 6

เช้า - ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น + น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล 1 แก้ว

กลางวัน - ข้าวกล้อง 3 ทัพพีปาดเรียบ + ต้มยำรวมมิตรน้ำใส 1 ชาม

ระหว่างมื้อ - ฝรั่ง 1 ผล + แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

เย็น - อกไก่ย่าง 1 ชิ้น + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย
 

วันที่ 7

เช้า - ข้าวกล้อง 2 ทัพพีปาดเรียบ + เกาเหลา 1 ชาม

กลางวัน - ส้มตำ + ซุปหน่อไม้ + อกไก่ย่าง 1 ชิ้น (เอาหนังและไขมันออก)

ระหว่างมื้อ - แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล + โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย

เย็น - ไข่ขาวต้มไม่จำกัดจำนวน + น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล 1 ถุง

ทั้งนี้ควรออกกำลังกาย 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3 วันขึ้นไปควบคู่กันไปด้วยนะค่ะ แต่หากเพื่อนๆ ออกกำลังกายหนักๆ ควรปรับอาหารเพิ่มขึ้นอีกนะคะ

อยากได้สักคนคงดี ... อิอิ

Lamborghini Aventador LP700-4


เครื่องยนต์ -   V12 สูบบล๊อคล่าสุด  ความจุ 6.5 ลิตร
แรงม้า - 700 แรงม้า
เกียร์/ขับเคลื่อน  AMT 7 จังหวะ ISR (Independent Shifting Rods)
ความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ประมาณ 0.05 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 5.8 กม./ลิตร
ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
เวลาทำความเร็วจาก 0-100 km/h - 2.9 sec
ราคา - 36,500,000 บาท

10 นิสัยแย่ๆ ทำร้ายผิว

ไม่ทาครีมกันแดด
     สาวๆ คนไหนที่ละเลยเรื่องนี้ต้องรีบปรับปรุงตัวเองด่วนๆ เลยค่ะ (พี่เตยก็ต้องบอกตัวเอง เหมือนกัน T_T ) เพราะสมัยนี้แดดแรงมากกกกกก ใครที่จะต้องตากแดดบ่อยๆ ควรทาครีมกันแดดด้วยนะคะ โดยสามารถเลือกค่า SPF ได้ตามความเหมาะสมกับกิจกรรมที่ต้องทำค่ะ ส่วนใครที่กลัวแดดมากๆ นอกจากจะทาครีมกันแดดแล้วอย่าลืมพกร่ม ใส่หมวก หรือใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวด้วยนะคะ เรียกได้ว่ากันแดดสุดชีวิตเลย > <

ไม่ทาครีมที่คอ    
ต้องมีสาวๆ หลายคนแน่ๆ ที่ละเลยไม่ได้ทาครีมที่คอ บางคนอาจจะคิดว่าทาครีมที่หน้าก็พอแล้ว จะทาคอทำไม ผิดแล้ววววสาวๆ! คอก็เป็นส่วนที่ต้องใส่ใจและดูแลให้เท่ากับผิวหน้าเลยค่ะ (ไม่งั้นคอจะน้อยใจแย่ > < ) โดยเฉพาะครีมกันแดด ก็ต้องทาที่คอด้วยเช่นกันนะคะ ไม่งั้นจะกลายเป็น หน้าขาวแต่คอดำจะดูตลกแย่เลย ^^’’

ไม่ล้างเครื่องสำอาง
    สาวๆ คนไหนขี้เกียจล้างเครื่องสำอางยกมือขึ้น!!! ต้องท่องไว้ค่ะว่าถ้าอยากสวย อยากแต่งหน้า ต้องไม่ขี้เกียจล้างเครื่องสำอาง เพราะสิวจะยกขบวนแห่กันมาถามหาเอาสิคะ > < ทั้งเครื่องสำอาง ทั้งเหงื่อ และไหนยังจะความสกปรกต่างๆ อีก นอกจากสิวจะขึ้นแล้ว หน้าจะพังก่อนไวอันควรด้วยนะคะ

ใช้เครื่องสำอาง/skincare เยอะเกินไป
    อะไรที่มากไปมันไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี การใช้เครื่องสำอาง และครีมบำรุงผิวก็เช่นเดียวกันค่ะ สาวๆ บางคนทาครีม หลายขนานเกินนนนน แถมเช้าเย็นยัง ไม่ซ้ำกันอีก > < พี่เตยว่าทางที่ดีคือควรทาเท่าที่จำเป็น ผิวเรามีปัญหาตรงไหนก็เลือกครีมที่ช่วยแก้ปัญหาที่จุดนั้น ไม่ใช่เห็นในโฆษณาว่าดีก็รีบซื้อมาใช้ตาม ผลิตภัณฑ์บางตัวไม่ได้เหมาะกับทุกสภาพผิวและไม่ได้เหมาะกับคนทุกคนนะคะ พี่เตยเชื่อว่าตอนกลางคืนผิวของเราก็ต้องการการพักผ่อนเหมือนที่ร่างกายเรา ต้องการนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นทาครีมเท่าที่จำเป็นพอเนาะ 

แกะสิว
    พี่เตยเข้าใจค่ะ ยิ่งเห็นสิวขึ้นยิ่งคันไม้คันมือ แต่การแกะสิวนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สิวหายเร็วแล้ว ยังทำให้มีรอยดำจากสิวฝากไว้เป็นที่ระลึกอีกต่างหาก จากเดิมที่สิวหายช้าอยู่แล้ว ก็จะหายช้าเข้าไปอีก พอสิวหายก็จะมีรอยดำๆ ขึ้นมาแทน ต้องรออีกนานเป็นเดือนกว่ารอยดำๆ นั้นจะหายไป แถมมือของเราเนี่ยสกปรกสุดๆ ยิ่งเอาไปแกะสิว อาจจะติดเชื้อจนอักเสบเลยก็ได้นะคะ เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังเป็นสิวอยู่ ห้ามมมมมมมแกะสิวเด็ดขาด!!!

ขยี้ตาบ่อยยยยย 
    ผิวบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางมากเป็นพิเศษค่ะ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต้องเบามือ พี่เตยเห็นสาวๆ หลายคนชอบลืมตัวขยี้ตาแรงๆ > < การขยี้ตาบ่อยๆ แรงๆ จะทำให้ผิวรอบดวงตาช้ำ ใต้ตาดำ ดีไม่ดีมือเราไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อจนตาอักเสบได้นะคะ ถ้าใครที่น้ำตาไหลง่ายหรืออยากขยี้ตาจริงๆ พี่เตยว่าเปลี่ยนวิธีมาใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู่ สะอาดซับเบาๆ น่าจะดีกว่าค่ะ

เลียริมฝีปากบ่อยๆ 
     บางคนพอรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งก็เลียริมฝีปากเพื่อไม่ให้ปากแห้งจนติดนิสัยเป็นความเคยชินเลียริมฝีปากตลอดเวลา สาวๆ รู้มั้ยคะว่าเรายิ่งเลียริมฝีปาก ปากเราก็จะยิ่งแห้งยิ่งแตกค่ะ ทางแก้คือต้องหยุดเลียปากและทาลิปมันหรือลิปบาล์มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากนั่นเอง ;)

อดหลับอดนอน
     ร่างกายของเราต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ผิวของเราก็เช่นเดียวกันค่ะ เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนน้อย ร่างกายจะฟ้องออกมาทางผิว ทำให้สิวขึ้น หน้าโทรม มีรอยคล้ำใต้ตา ดูไม่สดชื่น เพราะฉะนั้น สาวๆ คนไหนที่ชอบนอนดึกมากๆ หรือนอนเช้าต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วนะคะ การนอนดึกนอกจากจะทำให้ไม่สวยแล้ว ยังทำให้ ไม่สูงด้วยนะเอออออ

ไม่ซักพัฟแป้ง
     สาวๆ รู้มั้ยคะว่าทั้งทัฟและแปรงแต่งหน้าถือว่าเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไว้มากมายเลยค่ะ แถมยังเป็นต้นเหตุของสิวอุดตัน สิวผด และผื่นต่างๆ ด้วยเพราะฉะนั้นเราควรซักทำความสะอาดพัฟแป้ง และแปรงแต่งหน้าทุกๆ 2 สัปดาห์ แล้วตากลมให้แห้งสนิทก่อนนำกลับมาใช้อีกครั้งค่ะ

ของหมดอายุ
    ทั้งเครื่องสำอางและ skincare ต่างๆ มีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปีค่ะ ถ้าเราดันทุรังใช้ต่อทั้งๆ ที่มันหมดอายุแล้ว อาจจะมีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งสิว ทั้งผดผื่น คัน ถ้าเครื่องสำอางหรือ skincare หมดอายุแล้ว หรือเริ่มสีเปลี่ยนมีกลิ่นแปลกไปจากเดิม ให้รีบโละทิ้งทันทีเลยค่ะ อย่าเสียดายเลย ซื้อใหม่เถอะ มันไม่คุ้มเลยถ้าเราใช้มันต่อจนหน้าเราพังน้า T_T

ผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน !!

ผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน : )
          เพราะว่าผลไม้เป็นอาหารที่มีสารอาหารสูง มีทั้งวิตามิน เกลือแร่ ซึ่งช่วยดูแลเรื่องระบบการย่อยและระบบขับถ่ายของร่างกายเราเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ผลไม้บางชนิดกลับมีน้ำตาลสูง เรียกว่าถ้าทานแล้วต้องอ้วนแน่ๆ นั่นเอง> < เพราะฉะนั้นตามพี่เตยมาดูกันดีกว่าว่ามีผลไม้ชนิดไหนบ้างที่กินแล้วไม่อ้วน


Strawberry

สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่เหมาะกับการลดน้ำหนักเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะนอกจากจะมีแคลอรี่ต่ำแล้วยังมีไฟเบอร์สูงอีกด้วย ในสตรอเบอร์รี่ 50 แคลอรี่ มีไฟเบอร์ถึง3 กรัมเลยค่ะ สตรอเบอร์รี่เป็นแหล่งรวมของวิตามินซี โฟเลต โพแทสเซียม และแมงกานีส สารอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยรับประทานสตรอเบอร์รี่แค่สามสี่ลูกก็จะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้นค่ะ


Orange

ส้มเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายมากๆ แถมมีราคาไม่แพงมากนัก การรับประทานส้มเป็นลูกๆ ดีกว่าการดื่มน้ำส้มค่ะ เพราะจะทำให้เราได้รับไฟเบอร์มากกว่านั่นเอง ในส้ม 1 ผลมีแคลอรี่ประมาณ 85 แคลอรี่มีเส้นใยอาหารประมาณ 5 กรัม นอกจากนี้ส้มยังประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินบี โฟเลต ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้นค่ะ


Apple
ในแอปเปิ้ลลูกย่อมๆ ประกอบด้วยไฟเบอร์มากถึง 4 กรัมเลยค่ะ แอปเปิ้ลยังช่วยให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้นโดยที่เราไม่ต้องได้รับจำนวนแคลอรี่เพิ่มมากขึ้น แอปเปิ้ลประกอบไปด้วยวิตามินซีซึ่งช่วยในเรื่องของการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แถมเจ้าแอปเปิ้ลนี้ยังช่วยป้องันโรคมะเร็งได้อีกด้วยค่ะ

Mango

มะม่วงลูกขนาดกลาง 1 ผลมีปริมาณแคลอรี่ประมาณ 130 แคลอรี่ แต่มีปริมาณไฟเบอร์มากกว่า 4 กรัม และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี และแคลเซียม แถมยังมีส่วนช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดอีกด้วยค่ะ แต่ทั้งนี้มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เพราะฉะนั้นสาวๆ ต้องรับประทานให้พอดี อย่ารับประทานมากเกินไป ไม่งั้นจะอ้วนโดยที่ไม่รู้ตัวนะคะ > <


Guava

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายมากๆ แถมยังขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย สาวๆ คนไหนที่กำลังไดเอ็ทอยู่มักจะเลือกฝรั่งมารับประทานเป็นอันดับแรกๆ ฝรั่งมีรสฝาด แต่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย แถมยังมีวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค ไลโคปีน และโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันในเส้นเลือดด้วยค่ะ

Papaya

สาวๆ คนไหนชอบกินส้มตำบ้างคะ พี่เตยเป็นคนนึงที่ชอบกินส้มตำมากกกก ^^เพราะฉะนั้นใครชอบกินมะละกอล่ะก็ ได้เฮกันแน่ๆ ค่ะ เพราะเราสามารถรับประทานได้ทั้งแบบสุกและแบบดิบ โดยในมะละกอ 55 แคลอรี่ มีจำนวนไฟเบอร์3 กรัม และมะละกอยังมีวิตามินเอ วิตามินซี โฟเลต และโพแทสเซียม นอกจากนี้ในมะลอกอยังมีเอนไซม์ซึ่งช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่ายให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการลดน้ำหนักเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ


Cantaloupe

แคนตาลูป 1 ลูกเล็กมีปริมาณแคลอรี่เพียงแค่ 60 แคลอรี่เท่านั้นเองค่ะ แต่แคนตาลูปจะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่สูง ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ โพแทสเซียม ไนอาซิน โฟเลต วิตามินบี6และเบตาแครอทีน แถมยังช่วยดูแลสุขภาพปอดของเราด้วยค่ะ


Watermelon

แตงโมก็เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่รับประทานแล้วจะไม่ทำให้เราอ้วนค่ะ ในแตงโมประกอบไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินซี แอนไทออกซิแดนซ์ เบตาแครอทีน และไลโคปีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจ รวมถึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยค่ะ แถมเจ้าแตงโมเนี่ยมีแคลอรี่เพียงแค่46 แคลอรี่เท่านั้นเองค่ะ


Pineapple
สัปปะรดก็เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นเลยค่า > < สัปปะรดประกอบไปด้วยแมงกานีส วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง รวมถึงช่วยป้องกันการเกิดหวัดและเป็นไข้ เนื่องจากสัปปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากๆ นั่นเองค่ะ แถมสัปปะรดยังช่วยให้เรารู้สึกอิ่มโดยไม่ทำให้เราอ้วนขึ้นด้วยค่ะ
Kiwi
ในกีวี่ 1 ผลมีปริมาณแคลอรี่ประมาณ 46 แคลอรี่ กีวี่ประกอบไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินอี และไฟเบอร์ ซึ่งไฟเบอร์ในกีวี่จะช่วยเรื่องการดูดซึมสารอาหาร ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ได้ด้วย